ศอ.บต. เปิดแผน “วาระพืชกระท่อม 120 วัน”นำร่อง 200 หมู่บ้าน แก้ปัญหายาเสwติดชายแดนใต้

จากนโยบายเชิงรุกของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหายาเสwติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ส.ค.68 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้จัดประชุมครั้งสำคัญ ณ โรงแรมเซาเทิร์นวิว ปัตตานี เพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ "วาระพืชกระท่อม 120 วัน" โดยมี นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. เป็นแกนหลักในการนำทัพ

  • เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับรากหญ้าเกี่ยวกับแนวทางการสนับสนุนและส่งเสริมอาชีพใหม่ๆ ให้แก่ชุมชนที่ประกาศตนเป็น "หมู่บ้านปลอดพืชกระท่อม" พร้อมมอบป้ายไวนิลให้พื้นที่เพื่อติดตั้งในชุมชนจำนวน 200 ป้าย โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ภาคประชาสังคม รวมถึงบัณฑิตอาสาและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

แผนปฏิบัติการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 200 หมู่บ้าน/ชุมชน ใน 79 ตำบล 29 อำเภอ ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอจังหวัดสงขลา โดยในนราธิวาส 54 หมู่บ้าน และ 26 ตำบล ปัตตานี 71 หมู่บ้าน และ 24 ตำบล ยะลา 59 หมู่บ้าน และ 20 ตำบล และ สงขลา 16 หมู่บ้าน และ 9 ตำบล

ภายในงานยังมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “ความคาดหวัง และการเปลี่ยนแปลง 120 วัน วาระพืชกระท่อมชายแดนใต้” เพื่อให้ผู้ร่วมเสวนาได้แสดงมุมมองและข้อมูลที่หลากหลาย ในมิติการขับเคลื่อนเชิงรุกของ ศอ.บต. ครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหายาเสwติดจากต้นทาง และสร้างชุมชนที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ในการเสวนา นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผอ.กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. กล่าวถึงการก่อเกิด "วาระพืชกระท่อม 120 วัน" ว่า กระท่อมทำลายลูกหลาน จึงเกิดวาระ 120 วัน เน้นกลไกนอกเหนือภาครัฐ อยากเห็นภาคประชาชน ภาคประชาสังคมลุกมาสร้างความยั่งยืน เมื่อทำไปสักระยะ มีการประกาศไม่เอากระท่อมและทำจริง เห็นมาเรื่อยๆ ที่ควน บุดี รามัน จารู ตลาดเก่า ผู้นำชุมชนประกาศไม่เอาและปลอดกระท่อมร้อยเปอร์เซ็นต์ คือการส่งสัญลักษณ์ ความสำเร็จ

“เมื่อเริ่มทำถูกตั้งคำถามว่า ทำไมไปทำเรื่องกระท่อม ทำไมไม่ทำเรื่องยาบ้า สิ่งที่ตอบคือ เราต้องทำ ให้คนที่ตั้งคำถามว่าหน่วยงานรัฐ ประชาชนมุ่งมั่นตั้งใจ สองเดือนกว่าความสำเร็จอาจยังไม่เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่เกิดตามสื่อคือความสำคัญ เหนือความคาดหมาย มีคุณค่ามากกว่าการตอบคำถามต่างๆ 120 วันคงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีพันธมิตรในการเปลี่ยนแปลงเดินไปด้วยกันทุกวัน เชื่อว่า 30 กันยาแน่นอน

เกิดการตระหนัก สื่อสาร สแกนผู้เสพ กลุ่มเสียง หน้าที่ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง การบำบัด สาธารณสุข จะเปิดมินิธัญญรักษ์ทุกอำเภอ จะรับผู้เสพทุกราย ส่งกลับบ้าน ให้มีศูนย์พัก บ้านอุ่นไอรัก เกาะแลหนัง บ้านเปียน จะเป็นสถานฟื้นฟูทั้งพุทธและมุสลิม ศูนย์ศรัทธาชนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ร้านค้าที่เคยขายหายไป หลายพื้นที่กำลังเปลี่ยนแปลง พลังทางสังคมลุกขึ้นมาปฏิเสธ”

“การเกิดขึ้นของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมเพื่อการบำบัด กำลังหาทางเกิดขึ้น มีอาชีพเป็นเครื่องมือบำบัดกลุ่มเสี่ยง ที่ศอ.บต.และหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความสำคัญ ยาเสพติดไปเกี่ยวกับการพัฒนา การศึกษา หากคนมีการศึกษา รู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งทับซ้อนคือความมั่นคง ที่กอ.รมน.ภาค 4 ประกาศแล้วว่ายาเสพติดคือภัยความมั่นคง ต้องคิดมากกว่ายาเสwติด เชื่อมโยงการพัฒนา สังคม การศึกษา

กระท่อมจะเป็นโมเดลในการขับเคลื่อนประเด็นอื่นให้สำเร็จ ในการสร้างสันติสุขในพื้นที่บ้านเรา”

นายกามารูดิง มูซอ กำนันต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี กล่าวถึงการใช้มิติศาสนาเข้ามาช่วยแก้ปัญหายาเสwติดของหมู่บ้านว่า ยาเสพติดเริ่มที่กระท่อมเพราะพ่อแม่ไม่ห้าม ไม่รู้ แล้วนำไปสู่ยาเสพติดอื่น

การสร้างความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหานี้

“ปัญหาเหมือนหมู่บ้านอื่น อยู่ที่ผู้นำว่าจะจริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่ อาศัยทหารมาช่วยถอนกระท่อมออก ใช้เวลากว่า 2 ปีที่ทำความเข้าใจกับชาวบ้านและชุมชน อาศัยอิหม่ามช่วยบอกกล่าวว่าเป็นสิ่งฮารอม ต้องป้องกันตั้งแต่อายุ 13 ปี เมื่อขึ้นม.1 แล้วแก้ไขยาก

ตอนนี้ดีขึ้นยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีจิตเวช 6 คน ถ้าไม่ป้องกันจะมีจิตเวชเพิ่มขึ้นทุกปี เขามาขายยาบ้า น้ำกระท่อม ถ้าเราไม่ซื้อเขาจะขายใคร การจะเอาคนติดยาไปบำบัด พ่อแม่ต้องยอมรับว่าลูกติดยา การแก้ปัญหายาดเพติดไม่ใช่การปราบปราม การปราบคือเจ้าหน้าที่ หน่วยงานรัฐช่วยมามาก แต่เราไม่ช่วยตัวเอง ถ้าจิตเวชบำบัดด้วยยา ยาเสwติดบำบัดด้วยศาสนา หากศูนย์บำบัดเกิดทุกตำบลต้องบริหารจัดการได้

อย่างบ้านอุ่นไอรักมีผู้มาบำบัด 800-900 คน พ่อแม่ต้องมาเยี่ยมลูกทุกเดือน เชื่อมความรักความผูกพัน หากไม่มาดูก็ส่งกลับ อยากให้ลดลงและไม่มีผู้บำบัดอีก หากมีศูนย์คัดกรองทุกตำบล ช่วยเหลือคนลำบากและยากจนไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย อยากให้ชุมชนเข้มแข็ง แยกแยะ ไม่เอาการเมืองเข้ามา รัฐให้ความสำคัญจริง บุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการบำบัด การสร้างความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหานี้”

นายซูลกิฟลี ยีมะลี เยาวชนจาก มรภ.ยะลา บอกถึงเยาวชนได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเสwน้ำกระท่อมที่ไปหลงผิดว่าให้สบายใจว่า เป็นความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่น และหลุดจากวงจรการศึกษามากที่สุด ทำให้อนาคตดับ

“ปัญหามาจากความเครียด และการหลุดจากวงจรการศึกษา เราสร้างนิทรรศการว่าเมื่อเสพกระท่อมจะเกิดผลกระทบยังไง ต้องรณรงค์ให้เยาวชนได้รับรู้ว่าพวกเราเป็นห่วง ให้หลุดพ้นจากวงจรนี้ อยากเห็นทุกคนส่งเสริมให้เยาวชนที่อยู่ในกลุ่มวิกฤตได้หลุดพ้นต้องใช้มาตรการจริงจัง รณรงค์ ให้ลด ละ เลิก อย่างสิ้นเชิง”

“ปัญหายาเสพติดในชายแดนใต้เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรและผู้เกี่ยวข้อง ถือว่ามีสัดส่วนที่สูง น่าตกใจคือผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นเด็กและเยาวชน ด้วยไม่อยู่ในระบบการศึกษา ปี 2566 เกือบ 70,000 คน ไม่ได้รับการศึกษาและว่างงานอีกมาก เกิดความเสี่ยง การพัฒนาคุณภาพชีวิตต้องดึงตัวเอง ภาครัฐมาสนับสนุนอาชีพ และการบำบัดที่ถูกระบบ ไปที่รพ.สต.ใกล้บ้าน ประเมิน คัดกรอง ส่งต่อไปยังสถานที่เหมาะสม เช่น มินิธัญญรักษ์ สถานฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งภาครัฐและเอกชนที่เหมาะสมกับบริบท รวมทั้งการมีศูนย์คัดกรองทุกตำบลในอนาคต เราต้องเดินไปด้วยกัน” ตัวแทนจาก ปปส.กล่าว

ด้าน นาซือเราะ เจะฮะ สื่อมวลชนจากสำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า สองทศวรรษที่ผ่านมา สื่อมวลชนทำหน้าที่นำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับยาเสพติดชายแดนใต้มาโดยตลอด และไปเกี่ยวโยงกับทุกปัญหา โดยมีกระท่อมเป็นสารตั้งต้น ตอนนี้ครอบครัว พลังสังคมลุกขึ้นมาต่อต้านกันทุกชุมชน ให้ทำไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ายาเสพติดหายไปจากทุกชุมชนแน่นอน

นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการศอ.บต. กล่าวถึงนโยบายการจัดระเบียบกระท่อมที่มีวาระชัดเจน มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล มีกฎหมายเน้นการควบคุมไม่ได้และใช้ในทางที่ผิด เช่น ต้มกินเกินขนาดแล้วเกิดการมึนเมา ปัญหากระท่อมในชายแดนใต้จัดเป็นปัญหาสูงสุดของประเทศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นการจัดระเบียบ

“ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกระดับ ไม่ต้องการความเสี่ยงนี้ กลไกรัฐทุกระดับต้องรับผิดชอบ มีการตั้งด่านก็หลุดรอด งานบำบัด งานฟื้นฟู มาช่วยให้แก้ปัญหา ให้เป็นคนมีอนาคต แผนงานให้ความสำคัญกับภาคประชาชน ภาคประชาสังคม นำการแก้ปัญหาตามความพร้อมที่ทำได้ในสองเรื่องคือ งานป้องกัน สร้างความตระหนัก และงานฟื้นฟู ให้ชุมชนจับมือสร้างพลังทำงาน ขยายตัว แผนป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดบูรณาการในทุกมิติ ให้มีความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่อง

ได้มีการคุยกับผวจ.ว่าบทบาทของผู้นำศาสนาให้ชวนมาในการป้องกันและการตระหนัก อยากเห็นบทบาทผู้นำในทุกระดับคือไม่ให้เรื่องลุกลาม ดูว่ายังซื้อหายาได้หรือไม่ ฝ่ายบังคับกฎหมายต้องทำหน้าที่ต่อ เรื่องของโอกาสและอาชีพ รายได้เป็นสิ่งสำคัญ มีแหล่งรายได้ที่ไม่ต้องไปพึ่งยาเสwติด”

“สำหรับ 5 อาชีพที่ศอ.บต.สนับสนุน มาจากกระบวนการจัดการที่เคยเจอ ความต้องการที่เคยมีมาให้เลือกในสิ่งที่มีความพร้อม ความถนัด ปีต่อไปให้ลงตัวมากกว่านี้ ท่านรมว.ยุติธรรม บอกว่าให้มีค่ารักษาน้อยที่สุด เมื่อมารักษากับเอกชน มีหน่วยงานสาธารณาสุขดูแล อยากให้รักษาฟรี เป็นสิ่งที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อสังคม ให้มีการสื่อสารในการส่งข้อมูล หรือส่งมายัง ศอ.บต. 1880 ทุกปัญหาที่มีในชุมชนได้รับการแก้ไขคือความประสงค์ของรัฐบาลและทุกฝ่าย”

  • 5 อาชีพที่ให้ชุมชนเลือกตามความเหมาะสมของชุมชนคือ เลี้ยงไก่ไข่ 40 ชุมชน เลี้ยงไก่พื้นเมือง 40 ชุมชน เลี้ยงเป็ดเทศ 40 ชุมชน เลี้ยงผึ้งขันโรง 40 ชุมชน และก่อสร้าง 40 ชุมชน รวม 200 ชุมชน

#ข่าว #นโยบายปราบปรามยาเสพติด #พืชกระท่อม #ศอบต #เปิดแผน120 #นำร่อง200หมู่บ้าน #จังหวัดชายแดนภาคใต้ #ThePoligensNews

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *