
คำสั่ง คสช. 4/2559 เคยเปิดช่องให้โรง ไฟฟ้า-โรงงานอุตสาหกรรมตั้งได้ทุกที่ แม้จะทับแหล่งน้ำ ที่ทำกิน หรือในชุมชนคนอยู่จริง
ไม่ต้องฟังความเห็นชุมชน ไม่ต้องทำผังเมือง ไม่ต้องผ่านการประเมินผลกระทบ EIA
กฎหมายแบบนี้ คือ อาวุธร้ายที่รัฐไทยใช้ทำลายท้องถิ่นชุมชนหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ปาตานี
คนที่ต้องอยู่กับฝุ่น PM2.5 กลิ่นเหม็น มลพิษเสียง คนที่ถูกยึดพื้นที่ทำกินโดยไม่รู้ตัว คนที่ตื่นทุกวันด้วยคำถามว่า
“ทำไมรัฐถึงไม่ถามเราสักคำก่อนสร้าง? ”
วันนี้คำสั่งนี้ ถูกยกเลิกแล้ว คือจุดเริ่มต้นของสิทธิชุมชนและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
ถึงแม้มันยังไม่ใช่ตอนจบ... เพราะโรงไฟฟ้าเดิมยังอยู่ และโรงใหม่ก็กลับมาได้
เราต้องรู้เท่าทันและต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป

ที่มาของคำสั่ง คสช. 4/2559
คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ออกเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นการใช้กฎหมายผังเมืองรวม สำหรับโครงการประเภทโรงไฟฟ้า ระบบพลังงาน และการจัดการขยะทั้งจากภาครัฐและเอกชน
เจตนารมณ์ที่ประกาศใช้คำสั่งนี้คือเพื่อ “เร่งรัด” การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการจัดการขยะทั่วประเทศ โดยไม่ต้องรอการวางผังเมืองหรือผ่านขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชน จนกลายเป็นช่องทางลัดที่เปิดให้โครงการสามารถตั้งในพื้นที่ใดก็ได้ แม้พื้นที่นั้นจะไม่เหมาะสมตามผังเมืองหรือความเห็นของชุมชนก็ตาม
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
คำสั่งฉบับนี้ส่งผลรุนแรงต่อระบบผังเมืองและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เนื่องจาก
โรงไฟฟ้าและโรงกำจัดขยะ ถูกอนุญาตให้ตั้งในพื้นที่ชุมชนเกษตรกรรม เขตพักอาศัย หรือใกล้โรงเรียน โดยไม่ต้องตรวจสอบผลกระทบเชิงผังเมือง
กระบวนการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการวางผังเมืองหรือคัดค้านโครงการถูกปิดกั้น
โครงการบางแห่งที่ตั้งขึ้นภายใต้คำสั่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ กลิ่นเหม็น ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพของคนในพื้นที่
หลายชุมชนต้องใช้เวลาต่อสู้คัดค้านโครงการนานนับปี โดยไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายช่วยคุ้มครอง เพราะคำสั่งนี้ล้มล้างกระบวนการกำกับดูแลที่ควรมีตามกฎหมายปกติ
เมื่อคำสั่งถูกยกเลิกชุมชนได้อะไรคืน
ในเดือนกรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 4/2559 โดยมีผลทันทีหลังประกาศใช้กฎหมาย โดยไม่ต้องรออีก 2 ปีตามร่างเดิม ถือเป็นชัยชนะของภาคประชาชนและเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ผลักดันเรื่องนี้มายาวนาน
ผลดีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ฟื้นอำนาจของผังเมืองรวม ซึ่งเป็นเครื่องมือในการควบคุมการใช้พื้นที่ตามความเหมาะสม เช่น ห้ามสร้างโรงงานในพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ชุมชน
เปิดทางให้ชุมชนมีส่วนร่วม อย่างเป็นทางการในกระบวนการวางแผนและอนุญาตโครงการ
ลดโอกาสเกิดโครงการผิดที่ผิดทาง ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
นี่คือจุดเริ่มต้นของการ “นำสิทธิของชุมชนกลับคืน” และฟื้นระบบกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปในยุคอำนาจพิเศษ
แล้วโครงการโรงไฟฟ้าเดิมและอนาคตจะเป็นอย่างไร?
คำถามสำคัญคือเมื่อคำสั่งถูกยกเลิกแล้ว จะจัดการกับโครงการเดิมและโครงการใหม่อย่างไร?
โครงการเดิมที่ได้รับอนุญาตก่อนหน้าภายใต้คำสั่งนี้ ยังคงดำเนินต่อได้ โดยถือว่าถูกต้องตามกฎหมายในช่วงเวลานั้น (ราว 210 โครงการ)
อย่างไรก็ตาม หากมีข้อร้องเรียนเรื่องผลกระทบ ชุมชนยังสามารถใช้กลไกอื่น เช่น การฟ้องคดีสิ่งแวดล้อม หรือร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
โครงการใหม่ ต้องกลับมาอยู่ภายใต้กฎหมายผังเมืองอย่างเต็มรูปแบบ หากจะขออนุญาตสร้างโรงไฟฟ้าหรือโรงงานจัดการขยะ ต้อง ผ่านขั้นตอนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
การยกเลิกคำสั่ง คสช. 4/2559 เป็นก้าวสำคัญในการจัดการทรัพยากรและพื้นที่ประเทศไทย นอกจากจะเป็นการ “รื้ออำนาจเผด็จการ” ในระบบผังเมืองแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณว่าการพัฒนาโครงการใด ๆ ต้องเคารพสิทธิของชุมชน และความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
นี่ไม่ใช่แค่การยกเลิกคำสั่งฉบับหนึ่งเท่านั้น แต่คือการถอดอาวุธชิ้นหนึ่งของคณะรัฐประหาร (คสช.) ที่กัดกินสังคมมาอย่างยาวนาน
แหล่งอ้างอิง/บทความที่เกี่ยวข้อง
[ 1 ] https://www.ilaw.or.th/articles/53683
[ 2 ] https://enlawfoundation.org/repeal-ncpo-no-4-2016/

ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางเพจ The Patani Resource : คณะพิทักษ์ฐานทรัพยากรและการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้โพสท์ภาพพร้อมข้อความ โดยระบุว่า..
"หลุดแผ่นพับโครงการโรงไฟฟ้าขยะงบประมาณกว่า 1000 ล้านบาท ชุมชนตั้งข้อสังเกตความไม่โปร่งใส ผลกระทบต่อสิทธิชุมนุมและสิ่งแวดล้อม"
เอกสารระบุโครงการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า เจ้าของโครงการคือองค์การบริหารส่วนตำบลยามู จังหวัดปัตตานี ที่ตั้งโครงการที่ ต.ยามู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
โดยใช้ขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50 ไร่ กำลังผลิตกระแสไฟฟ้า 9.9 MW จำหน่าย 9.0 MW อ้างว่าใช้เชื้อเพลิงขยะมูลฝอยชุมชน
ระยะเวลาดำเนินโครงการก่อนกำจัดขยะ พ.ศ. ตั้งแต่ พ.ศ. 2566 - 2569 และใช้งบประมาณดำเนินโครงการ 1,750 ล้านบาท
เอกสารดังกล่าวนี้ได้อ้างถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่าปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐพยายามสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนบริหารจัดการขยะกับทางภาครัฐ เพราะตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดขยะมูลฝอยซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญและการใช้พลังงานทดแทนที่ดีของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย คือ เป็นพลังงานหมุนเวียนที่จะกำจัดขยะมูลฝอยที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยด้วยการนำมาเป็นพลังงานไฟฟ้า ช่วยลดการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
ข้อสังเกตจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
- ทำไมโครงการที่ใช้งบประมาณระดับพันล้านถึงมีเพียงเอกสารแค่แผ่นพับชิ้นเดียวที่ถึงมือประชาชน
- พื้นที่ตั้งโครงการไม่ได้อยู่ในเขตผังเมืองสีม่วง (พื้นที่อุตสาหกรรมฯ) จึงไม่รับอนุญาตให้สามารถตั้งโรงไฟฟ้าได้ อีกทั้งคำสั่ง คสช. 4/2559 ได้ถูกยกเลิกไปแล้วทำให้กิจการพลังงานไม่ได้รับการยกเว้นจากกฏหมายผังเมืองอีกต่อไป
- ในระยะ 1 กิโลเมตรรอบพื้นที่ตั้งโครงการมีชุมชน 3 ตำบล คือ 1.ตำบลยามู 2.ตำบลปิยา 3.ตำบลราตาปันยัง ประชากรประมาณ 15,000 คน
- พื้นที่ตั้งของโครงการตั้งบนพื้นที่นากว่าร้อยไร่ของหลายชุมชน โดยมีสายน้ำสายย่อยของแม่น้ำยะหริ่งอีกด้วย อีกทั้งมี สภ.เมืองยะหริ่ง และโรงพยาบาลยะหริ่งอยู่ใต้จุดก่อสร้างอีกด้วย
- โครงการโรงไฟฟ้าขยะในอำเภอยะหริ่ง ถูกหลายชุมชนก่อนหน้านี้ได้คัดค้านไม่ให้ดำเนินการในพื้นที่ชุมชนมาแล้วเพราะพื้นที่ดำเนินอยู่ใกล้กับชุมชน เช่น ชุมชนหนองแรต ชุมชนปียา ก็ร่วมคัดค้านโครงการเดียวกันนี้
- ข้อมูลบ้างส่วนอ้างว่าโครงการนี้ได้ดำเนินการทำประชาคมแล้ว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่มีส่วนได้เสียไม่รับรู้ว่าได้จัดเวทีไปแล้วจริงหรือไม่
- มีความพยายามของนายหน้าที่ดินที่ต้องการรวบรวมโฉนดที่ดินของชาวบ้าน แล้วสร้างเรื่องว่าหลายคนยอมขายที่ดินไปแล้วด้วยราคาไร่ละ 1 แสนกว่าบาท
- กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าขยะขนาด 9.9 จำเป็นต้องใช้ขยะกว่า 1 พันตันต่อวัน ซึ่งขัดแยังกับชื่อโครงการที่อ้างว่าต้องกำจัดขยะมูลฝอยของชุมชน ซึ่งชุมชนไม่มีขยะปริมาณมากขนาดนั้น
#ข่าว #สิ่งแวดล้อม #ยกเลิกคำสั่ง #คสช #โรงไฟฟ้าขยะ #คืนสิทธิชุมชน #จัดการทรัพยาการอย่างเป็นธรรม #ThePataniResource #ThePoligensNews
