
เมื่อวันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 3 คณะอิสลามศึกษาและนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี จังหวัดปัตตานี เวทีแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในบริบทสังคมมุสลิม โดยมีผู้ร่วมเสวนาทั้งจากภาควิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคม ดังนี้: โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา - รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี - ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ - พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม - นายดนัย มู่สา ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษา - นายฮุสนี บินหะยีคอเนาะ ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา
รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมกล่าวว่า เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสดีๆจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ที่ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสิทธิมนุษยชน MOU และมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมดำเนินกิจกรรมในด้านการบริการวิชาการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิ สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สํานักงาน กสม.) ได้จัดทําบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (MOU) กับมหาวิทยาลัยฟาฏอนี โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อร่วมดําเนินกิจกรรมในด้านการบริการวิชาการ เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างและพัฒนากระบวนการเรียนรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน รวมถึงปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของปวงชน ชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแสวงหาความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมทั้งในและนอกพื้นที่ โดยที่ สํานักงาน กสม. และมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ได้จัดการประชุมร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและมีมติให้จัดตั้ง “ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา” ณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี

รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา ยังกล่าวอีกว่า สิทธิมนุษยชนกับหลักการอิสลาม “อิสลามคือวิถีชีวิตสู่สันติ” และความสันติอยู่บนพื้นฐานของการเคารพให้เกียรติร่วมมือ เกื้อกูล ช่วยเหลือกัน ไม่ใช่เฉพาะมุสลิม อัลกุรอ่าน เป็นเหมือนสคริปต์การแสดงตัวของทุกคนทั้งหมดมุสลิม มุนาฟิก และที่ไม่ใช่มุสลิม แต่ต้องให้เกียรติกัน ยกเว้น นอกจากผู้รุกราน


ด้าน ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลีนี ประธานในพิธีกล่าวว่า ขอความสันติจงมีแด่ทุกท่าน ในฐานะที่เราเป็นมุสลิม ในหลักการอิสลามสอน “มนุษย์ที่ดีเลิศ คือมนุษย์ที่ทำประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์” ไม่ใช่มนุษย์ที่จะไปทำลายเพื่อนมนุษย์ ทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าศูนย์ศึกษาและประสานงานสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้จะเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่เราได้มาช่วยกันยันประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษยชาติต่อไป

ด้าน พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวและการทำงานในฐานะ “ผู้หญิง ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา” และ “อดีตข้าราชการที่รับราชการในบ้านเกิดกว่า 18 ปี”
โดยชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิทธิมนุษยชนกับชีวิตจริงของประชาชนในพื้นที่ว่า: “ดิฉันเติบโตมากับเรื่องราวของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ถึงแม้จะเกิดไม่ทันช่วงเหตุการณ์ แต่สิ่งเหล่านี้ถ่ายทอดมาถึงรุ่นเรา ทำให้เข้าใจสิทธิในระดับชีวิตครอบครัวก่อนจะขยายสู่ระดับสังคม”
คุณหมอพูดถึงการใช้ความรู้ด้านจิตวิทยาและการลงพื้นที่ของทีมงานเพื่อเยียวยาครอบครัว ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การซ้อมทรมานและการอุ้มหาย ซึ่งเป็นเสียงจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ใช่จากตัวเลขหรือรายงาน
เมื่อเข้าสู่การเมืองในปี 2562 คุณหมอได้ผลักดัน พระราชบัญญัติป้องกันการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย จนสามารถออกมาใช้จริง ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ส.ส. และถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ภาคภูมิใจที่สุด ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวง อว. คุณหมอยังตั้งใจศึกษางานวิจัยทั้งหมดที่เคยทำในจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมสร้างเวทีให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดโจทย์การวิจัยเอง เช่น -การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน - การเข้าถึงความยุติธรรม - การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ - การลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง
“ความยากจนในพื้นที่ไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีและความเป็นธรรม ความไม่สงบจะไม่คลี่คลาย หากยังมีคนที่ถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในการพัฒนา” คุณหมอยังกล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ว่ากำลังเป็น “จุดเชื่อม” ระหว่างศรัทธา ความรู้ และสิทธิมนุษยชน พร้อมเน้นว่า ความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับนานาชาติ คือกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน เวทีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในมุมศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนพลังของผู้หญิงที่กล้าพูด กล้าทำ และกล้าเปลี่ยนแปลงด้วยความอ่อนโยนและกล้าหาญ

ด้านบาบอฮุสณี บินหะยีคอเนาะ การเสวนาได้ชี้ให้เห็นว่าแม้หลักการอิสลามจะส่งเสริมเรื่อง ความยุติธรรม ความเมตตา และ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดสิทธิมนุษยชนสากล แต่ก็มีความท้าทายในการนำไปใช้จริง ความหลากหลายในการตีความคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ เช่น สิทธิสตรี เสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอก เช่น กลุ่มหัวรุนแรงที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการที่มุสลิมบางกลุ่มถูกเลือกปฏิบัติหรือเหมารวม (stereotyping) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของพวกเขา การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการอิสลามที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้กับแนวคิดที่ผิดพลาด
บอบอฮุสณี ยังสะท้อน บทเรียนจากจะนะ การปกป้องชุมชนโดยผู้รู้ศาสนาและชาวบ้าน กรณีการต่อสู้ของชาวบ้านจะนะเพื่อปกป้องชุมชนจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและนายทุน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำหลักสิทธิมนุษยชนจากทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ในกรณีนี้ บทบาทของผู้รู้ศาสนา ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเผยแผ่หลักธรรม แต่ได้ขยายไปสู่การเป็นแนวหน้าในการปกป้องสิทธิและวิถีชีวิตของชุมชน ผู้รู้ศาสนาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้ด้านสิทธิ การปลุกจิตสำนึก และการรวมพลังกับชาวบ้านในการต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร และวัฒนธรรมท้องถิ่น




การรวมตัวกันของผู้รู้ศาสนาและชาวบ้านจะนะ สะท้อนให้เห็นถึง พลังของความเชื่อ ศรัทธา และความเข้าใจในหลักการอิสลามที่ส่งเสริมความยุติธรรม การปกป้องผู้อ่อนแอ และการรักษาสมดุลของธรรมชาติ นี่แสดงให้เห็นว่าหลักการอิสลามสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมได้จริง เมื่อเผชิญกับการละเมิดสิทธิโดยอำนาจรัฐและนายทุน การยืนหยัดของชุมชนมุสลิมจะนะที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้รู้ศาสนา จึงเป็นตัวอย่างที่ประจักษ์ถึงการประยุกต์ใช้หลักสิทธิมนุษยชนในบริบททางศาสนาและวัฒนธรรม
บทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน มหาวิทยาลัยฟาฏอนีในฐานะสถาบันการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการเป็น เวทีสำหรับการถกเถียงและแลกเปลี่ยนมุมมอง ในประเด็นที่ซับซ้อนเช่นนี้ การจัดเสวนาวิชาการช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างหลักการอิสลามกับแนวคิดสิทธิมนุษยชนสากล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากนักวิชาการ นักกฎหมาย นักเคลื่อนไหว และผู้นำศาสนา การเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และช่วยให้ชุมชนมุสลิมสามารถนำหลักการอิสลามไปประยุกต์ใช้ร่วมกับแนวคิดสิทธิมนุษยชนสากลได้อย่างกลมกลืนและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
โดยสรุปแล้ว การขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในบริบทของอิสลามไม่ใช่แค่เรื่องของทฤษฎี แต่คือ การลงมือปฏิบัติ ที่ต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ความยืดหยุ่นทางความคิด และความมุ่งมั่นที่จะเห็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกัน ดังที่ปรากฏให้เห็นจากการต่อสู้ของชาวบ้านจะนะที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้รู้ศาสนา ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ตอกย้ำว่าการปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม









ทั้งนี้ภายในงานยังมีการจัดบู๊ทนิทรรศการ ด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม มาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ พร้อมตอบประเด็นปัญหา ด้านสิทธิต่างๆให้กับผู้ที่เข้าร่วมได้รับทราบถึงขั้นตอนการร้องเรียน ทั้งนี้ศูนย์ดังกล่าว ประชาชนทั่้วไปสามารถใช้บริการได้ โดยศูนย์ตั้งที่ คณะอิสลามศึกษาและนิคิศาสตร์ ชั้นที่2 มหาวิทยาลัยฟาฏอนี
ฟังเสวนาย้อนหลังฉบับเต็ม https://www.facebook.com/share/v/1FrALLjnyC/


















#ข่าว #มหาวิทยาลัยฟาฏอนี #ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ #เปิดศูนย์ประสานงานสิทธิมนุษยชน #เสวนาสิทธิมนุษยชนในหลักการอิสลาม #ThePoligensNews